รับมืออย่างไรกับ Silent Treatment?

127 จำนวนผู้เข้าชม  | 

รับมืออย่างไรกับ Silent Treatment?

รับมืออย่างไรกับ
Silent Treatment?

ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D.)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
EMDR Psychotherapy Supervisor and Brainspotting Psychotherapy Practictioner


รับมืออย่างไรกับ Silent Treatment?

Silent Treatment คือการที่ใครบางคนปฎิเสธที่จะสื่อสารอาจเพราะไม่พอใจ โกรธหรือไม่เห็นด้วยกับอะไรบางอย่างจึงตอบสนองด้วยพฤติกรรมเงียบ ไม่ตอบ หรือเมินเฉย

Silent Treatment ตามหลักจิตวิทยาคือการทอดทิ้ง ถือเป็นพฤติกรรมในเชิงลบ เป็นรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมที่ขาดทักษะการสื่อสาร และเป็นการทำร้ายทางจิตใจผู้อื่น  เป็นการกระทำรุนแรงต่อผู้อื่นที่มองไม่เห็น ทำให้อีกฝ่ายเกิดความวิตกกังวล สับสนและเจ็บปวด หากเราตั้งใจพูดคุยสนทนากับใครแล้วอีกฝ่ายตอบกลับด้วยการแสดงพฤติกรรมเงียบใส่ ย่อมทำให้เราเกิดความอับอายและเสียหน้า ถือเป็นการทำร้ายจิตใจที่รุนแรง และหากการแสดงพฤติกรรมนี้มีความจงใจ ก็อาจมีจุดประสงค์เพื่อต้องการทำให้เราเจ็บปวด พยายามแสดงตัวว่าอยู่เหนือกว่าหรือต้องการควบคุมจิตใจ

ดังนั้น หากเราเคยใช้ Silent treatment สิ่งที่ควรทำคือควรหยุดพฤติกรรมนี้ และหากทำโดยไม่ได้ตั้งใจควรอธิบายว่าทำไมถึงมีพฤติกรรมเงียบไปไม่ตอบสนองหรือเผิกเฉย และควรกล่าวคำขอโทษต่อการกระทำที่อาจก่อให้เกิดการตีความและเข้าใจผิด และควรกลับมาสื่อสารให้เป็นปกติดังเดิม



อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้พฤติกรรม silent treatment (การเงียบเฉย) เราควรฝึกฝนทักษะการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ไม่พอใจ และควรหาวิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเองเมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด เวลาเจอการสนทนาที่สร้างความวิตกกังวล เครียด ไม่สบายใจ หากพบว่าไม่สามารถจัดการกับภาวะอารมณ์หรือไม่มีทักษะการสื่อสารที่ดีเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พอใจควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเพื่อรับแนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง และเพื่อรักษาสัมพันธภาพกับคนรอบข้างไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต

 

ทำไมบางคนใช้ Silent treatment?

การใช้ Silent treatment ในแต่ละคนมักมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม silent treatment ส่งผลกระทบด้านลบต่อความสัมพันธ์  Silent treatment สร้างความเจ็บปวด ความเครียด ความกังวลสับสนให้กับผู้ถูกกระทำ มนุษย์เราโหยหาการเชื่อมโยงกับผู้อื่น ต้องการความอบอุ่นสบายใจที่จะสื่อสารและพูดคุยแสดงออกทางความคิดเห็นเพื่อการเชื่อมโยงและสนับสนุนทางสังคม แต่ Silent treatment เป็นการตัดขาดการเชื่อมต่อด้านภาวะทางอารมณ์ ทำให้ถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยว

การจงใจใช้ Silent treatment ผู้กระทำมีความต้องการให้ผู้ถูกกระทำเกิดความเจ็บปวด เกิดภาวะขาดความมั่นใจ ทำให้ต้องคอยระมัดระวังการพูดหรือสื่อสารอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ถูกกระทำเกิดความสับสนและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง  Silent treatment เป็นการลงโทษรุนแรงที่มองไม่เห็นและเป็นการทำร้ายจิตใจผู้อื่น



เหตุผลที่บางคนใช้ Silent treatment อาจมีดังนี้?

1. เพื่อควบคุมจิตใจ

Silent treatment ไม่ใช่เพียงแค่ความเงียบแต่การปฏิเสธที่จะสื่อสาร อาจมีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายเกิดความวิตกกังวล เครียดและหมดหวัง

2. เพื่อเลี่ยงความขัดแย้ง

บางคนใช้การเงียบเฉยมากกว่าจะอธิบายและชี้แจงเหตุผลที่สำคัญและจำเป็น

3. เพื่อสั่งสอน

การเงียบไม่ตอบสนองเป็นการลงโทษเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอายและไร้ค่า

4. มีภาวะทางจิตใจไม่ปกติ

บางคนไม่สามารถจัดการกับภาวะอารมณ์เครียด สับสนและวิตกกังวลของตัวเองได้เลยใช้วิธีเงียบและไม่อธิบาย

 

Silent treatment การใช้ความเงียบถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีปัญหาและไม่ปกติ เป็นการควบคุมด้านจิตใจ เป็นการทำโทษ เป็นการทำร้ายจิตใจ เมื่อเราถูกกระทำโดยใช้ Silent treatment ควรปกป้องตัวเองด้วยการสร้างระยะห่าง สื่อสารออกไปให้ชัดเจนว่าอะไรที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้ และควรมองหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

ผลกระทบด้านสุขภาพจิตหากถูกกระทำด้วย Silent treatment  มีอะไรบ้าง?

1. เกิดความเจ็บปวด (Emotional pain)

ผลกระทบด้านอารมณ์ การถูกปฏิเสธ ถูกละเลยด้านจิตใจส่งผลต่อภาวะทางจิตใจอย่างร้ายแรง

2. ส่งผลต่อความเครียด และวิตกกังวล (Anxiety and Stress)

ความเงียบ เมินเฉยไม่สื่อสารพูดคุยส่งผลต่อภาวะวิตกกังวล และความเครียด

3. ไม่ให้เกียรติ

ทำให้ผู้ถูกกระทำรู้สึกถูกด้อยค่า รู้สึกไม่มีคุณค่า

4. สร้างความสับสน

การไม่สื่อสารทำให้เกิดความเครียดและสับสนในสัมพันธภาพ

อย่างไรก็ตามสาเหตุของปัญหาการใช้ Silent treatment ในบางคนอาจมีที่มาดังนี้

1. ภาวะปัญหาด้านอารมณ์

ภาวะด้านอารมณ์เป็นผลกระทบมาจากสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูเป็นสาเหตุของภาวะความกลัว และวิตกกังวล ความโดดเดี่ยวและการหลีกเลี่ยงบางอย่างในชีวิตเกิดจากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาในอดีต

2. ขาดทักษะทางการสื่อสาร

การขาดทักษะทางการสื่อสารส่งผลกระทบต่อการสานสัมพันธ์และการรักษาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น

3. ประสบการณ์ในอดีต

การมีประสบการณ์แย่ในอดีตเป็นตัวกระตุ้นกดดันให้เกิดพฤติกรรมแสดงออกในปัจจุบัน

4. ภาวะทางจิตที่ผิดปกติ

การใช้ความเงียบอาจเป็นเครื่องมือในการควบคุมภาวะจิตใจเหยื่อหรือใช้เป็นการลงโทษอีกฝ่ายด้วยสัมพันธภาพที่ห่างเหินเย็นชาไม่ตอบสนองด้านอารมณ์

อย่างไรก็ตามควรมีวิธีรับมือและตอบสนองกับ Silent treatment และอย่าได้ถือเป็นสาระสำคัญ ไม่ควรเก็บไปคิดให้หนักใจ เพราะ Silent treatment เป็นแค่พฤติกรรมที่ต้องการให้ผู้อื่นเกิดความเครียดและวิตกกังวล ดังนั้นไม่ควรใส่ใจจนเกินไป ควรตั้งสติและสงบใจ หากไม่สามารถรับมือกับปัญหาสัมพันธภาพหรือ ภาวะรบกวนทางจิตใจได้ด้วยตนเองควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญไม่ควรปล่อยปัญหาทิ้งไว้ โดยไม่ได้รับการแก้ไข

 

อ้างอิง

https://health.clevelandclinic.org/silent-treatment

https://www.self.com/story/silent-treatment-manipulation

https://www.psychologs.com/the-psychology-behind-the-silent-treatment/?srsltid=AfmBOopDsDv8YCRILGxkOe6jJP7WB6tpuPdd1qi6_1GJ_-NbxHfgRUif

tps://www.joinonelove.org/learn/how-to-deal-with-the-silent-treatment/

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้