3456 จำนวนผู้เข้าชม |
ความคิดลบทำให้สมองเสื่อมได้อย่างไร?
ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และนักจิตบำบัด
Certified EMDR and Brainspotting Therapy
การฝึกลับสมองให้เฉียบคมอยู่เสมอสามารถเพิ่มขีดความสามารถให้ความก้าวหน้าในชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมส์ฝึกสมอง จ้างเทรนเนอร์ด้านสมองมาเป็นที่ปรึกษา
ต่อจิ๊กซอว์ ล้วนเกี่ยวข้องกับพัฒนา cognitive skills ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานในด้านการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทั้งความจำ การมีเหตุผล การเข้าใจลึกซึ้งในรายละเอียด สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้
จากการศึกษาด้านสมองของนักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการพัฒนาสมองสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามหากเราละเลยหรือปล่อยให้การพัฒนาสมองอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์อาจเกิดปัญหาด้านต่างๆตามมาได้ เช่น การอ่านออกเสียง สมาธิ ความจำ หรือส่งผลเสียต่อการรับรู้เรื่องใหม่ๆ ข้อมูลข่าวสารและอาจมีผลต่อความคิดเชิงสร้างสรรค์ในเวลาต่อมา
ลองดูภาพข้างล่างนี้และฝึกสมองด้วยการวาดภาพนี้ลงในกระดาษเปล่าโดยไม่ยกดินสอขึ้นเลย ว่าเราจะสามารถทำได้อย่างไร?
การกระตุ้นเซลล์ประสาทและการรับรู้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้กับสมอง เป็นการพัฒนา cognitive skills ซึ่งเราควรต้องพัฒนาและกระตุ้นสมองด้านนี้อยู่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่พัฒนาหรือเติมความรู้ใหม่ๆหรือ ท้าทายสมองก็อาจเป็นผลเสียเช่นกัน
จะเกิดอะไรขึ้นหากการทำงานของสมอง ด้าน cognitive skills ไม่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งเรารู้ว่าการเรียนรู้หลายอย่างต้องอาศัยประสิทธิภาพของสมองในการเรียนรู้ แต่หากการทำงานของสมองด้อยประสิทธิภาพอาจเกิดปัญหาดังต่อไปนี้
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าหากต้องการลับสมองให้ฉลาดหลักแหลม และ มีประสิทธิภาพเราควรต้องดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย จิตใจ และควรหมั่นเติมอาหารสมองอยู่เสมอ ด้วยการเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ทำตัวให้กระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า ขยับร่างการเพื่อช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนทำให้สมองได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็ควรฝึกสมองให้แอคทีพอยู่เสมอทำได้ด้วยการทำงาน การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ รูป กลิ่น รส การมอง การรับรู้ การได้ยินควรหมั่นฝึกการใช้ประสาทสัมผัสบ่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น ความทรงจำก็จะเริ่มเสื่อมถอยโดยธรรมชาติ ดังนั้นฝึกการพัฒนาด้านความคิดที่เป็นบวกจะช่วยพัฒนาทักษะด้าน cognitive skills เป็นการช่วยชะลอการเสื่อมของสมองลงได้ อาจใช้วิธีการจดบันทึกหลังได้รับรู้สิ่งใหม่ ข้อมูลใหม่ หรือจากการอ่านหนังสือ หมั่นใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในทุกวันในการพัฒนาความจำและเติมความรู้ให้สมอง
นอกจากนี้นักวิทยายาศาสตร์ และนักจิตวิทยาที่ศึกษาลงลึกด้านสมองค้นพบว่าความคิดลบส่งผลต่อการทำลายสมอง ดังนั้นหากเราไม่อยากให้สมองเสื่อมหรือเป็นโรคทางสมองต่างๆเราควรระวังเรื่องความคิดลบเพราะการมี negative thoughts นั้นส่งผลต่อการพัฒนาสมองเป็นอย่างมาก
ลองนำเทคนิคการเปลี่ยนสมองให้คิดบวกบางส่วนที่นักจิตวิทยาใช้บำบัดและดูแลจิตใจและความคิดให้แต่ผู้รับบริการเพื่อให้สมองได้มีการพัฒนา ไม่เสื่อมก่อนเวลา และยังทำให้ชีวิตมีความสุข และช่วยให้ปรับตัวกับสถานการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี
ความคิดลบทำให้เรากังวลและยังส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของสมองอีกด้วย
นักจิตวิทยาพยายามช่วยเหลือผู้มารับบริการให้ตระหนักถึงแบบแผนทางความคิดและวิธีในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และอยู่กับความเป็นจริง
กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนความคิดลบคือการเข้าใจวิธีคิดของตนเอง และเปลี่ยนเป็นความคิดเชิงบวก ซึ่งมีผลทำให้ช่วยลดอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางสมองต่างๆ เช่น dementia และ อัลไซเมอร์ นักจิตวิทยาช่วยให้ผู้รับบริการมีแนวทางในด้านความคิดและพฤติกรรมที่ดีขึ้น เข้าใจการทำงานเรื่องของระบบความคิดที่ส่งผลโดยตรงต่อสมอง
ดังนั้นเราอาจนำวิธีเทคนิคบางส่วนที่นักจิตวิทยาใช้นี้ไปปรับให้เข้ากับชีวิตเพื่อช่วยเหลือตัวเองในการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและไม่ตื่นกลัวหรือกังวลกับการอยู่ในสังคมมากจนเกินไป
6 เทคนิคในการเปลี่ยนสมองให้คิดบวก
คำแนะนำของนักจิตวิทยามีในการเปลี่ยนสมองให้คิดบวกมีดังนี้
1. ทำความเข้าใจกับวิธีคิดของตัวเอง
ว่าวิธีคิดของเราเป็นแบบไหน โดยเฉพาะการมองตัวเองเป็นบวกหรือเป็นลบ
2. เรียนรู้วิธีที่ค่อยๆเปลี่ยนความคิดลบให้เป็นบวก
ส่วนใหญ่นักจิตวิทยาจะใช้วิธีที่เรียกว่า cognitive restructuring หรือ จิตแพทย์จะใช้ cognitive-behavioral therapy ซึ่งเป็นกระบวกการเข้าใจในวิธีการคิดของตนเอง ให้ความสำคัญกับการรับรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น และปัญหานั้นคืออะไร ระบุปัญหาให้ชัดเจนเพื่อเริ่มกระบวนการจัดการแก้ไขได้ถูกจุด มีการประเมินถึงปัญหาและสถานการณ์
3. นักจิตวิทยามักจะเน้นเรื่องการทำความเข้าใจกับความคิดของตัวเองเวลาถูกมอง
ถูกวิพากวิจารณ์ หรือถูกติเตียนจากผู้อื่น เพื่อให้เราสามารถรับมือกับปฎิกิริยาด้านอารมณ์ของตัวเองที่อาจเกิดขึ้นได้
4. ใช้การฝึกสมาธิ
ทำให้เรามีสติ หัวใจสำคัญคือต้องการให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองโดยผ่านจากความคิดการกลั่นกรองจากสมองและสามารถควบคุมตัวเองได้
5. ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
การพยายห้ามไม่ให้คิดหรือปฎิเสธว่าสิ่งปัญหาได้เกิดขึ้นยิ่งทำให้ไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้
6. จดบันทึก
วิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งในการค่อยๆปรับเปลี่ยนความคิดลบที่นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ใช้ในกระบวนการ cognitive restructuring treatment หรือ Cognitive Behavioral Treatment (CBT) ที่ทำเราสามารถจัดการกับปฎิกิริยาด้านอารมณ์ของเราได้ ทำให้เราได้คิดวิเคราะห์ได้ดีขึ้นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นผลเกิดขึ้นและเกิดการยอมรับในปัญหาว่าได้เกิดขึ้นพร้อมหาวิธีแก้ไขและเปลี่ยนความกังวลในปัญหาหรือความคิดลบให้เป็นความคิดบวก
ความคิดลบเป็นตัวการทำให้สมองไม่พัฒนาในการเรียนรู้ หรือทักษะการใช้cognitive skills ด้อยประสิทธิภาพ ดังนั้นเราควรฝึกที่จะคิดบวกและแทนที่ความคิดลบด้วยความคิดในแง่ดีและสร้างสรรค์ เพื่อทำให้สมองมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดี และ ชลอการเสื่อมถ้อยของสมอง หากรู้สึกว่าการจัดการด้านความคิดลบของตัวเองมีปัญหาและอยากปรึกษานักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญจากทางBetter Mind สามารถติดต่อสอบถามได้ตลอดเวลา
เฉลย
อ้างอิง:
1. credit picture by Free for kid.com
2. https://www.verywellmind.com/how-to-change-negative-thinking-3024843
3. https://www.aplaceformom.com/caregiver-resources/articles/sharp-mind
4. https://www.newhorizonsvisiontherapy.com/what-is-visual-processing/
5. https://www.apa.org/research/action/speaking-of-psychology/brain-training