เข้าใจลูกเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..พ่อแม่ควรดูแลย่างไร?

21 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เข้าใจลูกเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..พ่อแม่ควรดูแลย่างไร?

เข้าใจลูกเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่..พ่อแม่ควรดูแลย่างไร?

ดร.มฤษฎ์ แก้วจินดา (Ph.D.)
นักจิตวิทยาการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
EMDR Psychotherapy Supervisor and Brainspotting Psychotherapy Practictioner


เมื่อลูกเติบโตขึ้น พ่อแม่ต้องปรับตัวการเจริญเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของลูก สิ่งที่พ่อแม่ควรตระหนักคือ ต้องมีวิธีการสื่อสารดูแลสั่งสอนที่แตกต่างจากตอนเป็นเด็กหรือวัยรุ่น เปลี่ยนการใช้ความเข้มงวดไปเป็น ‘การดูแลที่ให้เกียรติลูกและให้อิสระ สร้างบรรยากาศที่คอยช่วยสนับสนุนในสิ่งต่างๆที่ลูกอยากค้นหาหรือเรียนรู้ ให้ทางเลือก เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ลูกมี พูดคุยกันแบบตรงไปตรงมาเปิดใจ วางขอบเขตไม่ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวจนเกินไป ให้คำแนะนำแนวทางโดยไม่ต้องเข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของลูก’

สื่อสารกับลูกในวัยผู้ใหญ่อย่างไร?

การพูดคุยสื่อสารกับลูกเมื่อเติบโตเป็นวัยผู้ใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ลูกอาจไม่อยากบอกความจริงทั้งหมด หรือมีบางเรื่องที่ปิดบังไม่เล่าให้ฟังเพราะไม่อยากฟังการบ่นหรือเทศนาอบรม ไม่อยากถูกวิพากษ์วิจารณ์ตัดสิน ดังนั้นนการสื่อสารกับลูกที่โตเป็นผู้ใหญ่จึงมีความแตกต่างกับตอนสื่อสารกับลูกที่เป็นวัยรุ่น วิธีการสื่อสารจึงต้องใช้เทคนิควิธีที่แตกต่างกัน พ่อแม่ควรเป็นผู้ฟังที่ดี

อย่างไรก็ตามการพูดคุยกับลูกในวัยผู้ใหญ่อาจต้องอาศัยความเข้าใจใช้คำถามปลายเปิดให้แสดงความคิดเห็นที่ไม่มีถูกผิด นำสู่การหาวิธีแก้ไขปัญหา สร้างบรรยากาศการสนทนาที่เป็นมิตรและรู้สึกปลอดภัย มีความสบายใจที่จะพูดคุย ลูกมักมีความเชื่อ และมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นในรูปแบบที่แตกต่างกับพ่อแม่ มีชีวิตและสไตล์ความชื่นชอบที่เป็นของตัวเอง พ่อแม่ควรตระหนักรู้ว่าลูกมีชีวิตเป็นของตัวเอง และพ่อแม่ไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลของลูกอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนไปการสื่อสารที่ส่งผลต่อสัมพันธภาพระหว่างกันก็ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน




ทำไมการสื่อสารกับลูกที่โตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วถึงเป็นเรื่องยาก

1. เพราะลูกไม่ใช่เด็กเล็ก

พ่อแม่บางคนไม่ตระหนักรู้ว่าลูกโตแล้ว แต่ยังคงคอยดูแลปกป้องดูแลเหมือนตอนลูกเป็นเด็กๆ ที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งอาจเกินเลยไปถึงการเข้าไปควบคุมชีวิตลูกมากไปจนลืมไปว่าลูกโตพอที่จะสามารถดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว หากพ่อแม่ไม่ตระหนักรู้ในเรื่องขอบเขตก็อาจทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ได้รับการให้เกียรติจึงเป็นเหตุผลที่ลูกไม่อยากสื่อสารกับพ่อแม่

2. ลูกกลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ตัดสินจากพ่อแม่

ถึงแม้ว่าลูกจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ลูกยังคงต้องการการสนับสนุนและการยอมรับจากพ่อแม่ หากพ่อแม่วิพากษ์วิจารณ์การเลือกและการตัดสินใจของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีแฟน หรือเรื่องอาชีพการงานของลูกก็อาจส่งผลให้ลูกกลัวการสนทนากับพ่อแม่ ไม่อยากคุยด้วยในบางประเด็นที่อ่อนไหวเพราะไม่อยากถูกทำร้ายจิตใจ

3. พ่อแม่บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไป

หากพ่อแม่สอบถามเรื่องส่วนตัวของลูกบ่อยครั้งมากเกินไป เช่น เรื่องการเงินหรือเรื่องสัมพันธภาพกับคนรัก อาจสร้างความอึดอัด และรู้สึกไม่ได้รับการให้เกียรติในเรื่องความเป็นส่วนตัว เป็นการยากที่ลูกอยากจะคุยด้วยอย่างเปิดเผย

4. ลูกเคยมีปมบาดแผลทางใจที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูกส่งผลต่อพฤติกรรมและการสื่อสารของลูกเมื่อโตขึ้น บุคลิคภาพที่บกพร่องอันเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่บกพร่องไม่สมบรูณ์ อาจส่งผลกับประสบการณ์แย่ในอดีต ทำให้การสื่อสารเมื่อลูกโตขึ้นมีปัญหา ถูกกระตุ้นอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ง่าย

5. ช่องว่างระหว่างวัย

บางครั้งความแตกต่างระหว่างวัย ส่งผลต่อวัฒนธรรม สังคม ศาสนาและความเชื่อที่แตกต่างกัน เช่น การเปิดใจยอมรับในบางเรื่องในสังคมที่ลูกอยู่ เช่น การยอมรับในความแตกต่างของเพศสภาพ (LGBYQ community) หากพ่อแม่รู้สึกไม่ยอมรับในความแตกต่างระหว่างยุคสมัยอาจเป็นเรื่องยากที่ลูกจะอยากเข้าหา




ทำไมการสื่อสารกับลูกวัยผู้ใหญ่ถึงสำคัญและจำเป็น?

ลูกในวัยผู้ใหญ่ยังต้องการสัมพันธภาพที่ดี การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการสนับสนุนจากพ่อแม่อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้แล้วก็ตามแต่สัมพันธภาพกับพ่อแม่ที่ดีช่วยให้ลูกรู้สึกปลอยภัยและมีที่พึงทางใจ ทำให้ลูกกล้าลองทำในสิ่งใหม่ๆ

ทำอย่างไรให้ลูกที่เป็นผู้ใหญ่สามารถสื่อสารกับพ่อแม่ได้อย่างตรงไปตรงมา

การที่ลูกที่เติบโตแล้วจะสามารถสื่อสารพูดคุยกับพ่อแม่ได้อย่างเปิดเผยไม่ปิดบังนั้น เป็นเรื่องท้าทาย แต่จากผลสำรวจพบว่า สานสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีช่วยให้ลูกสื่อสารพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปิดบังพ่อแม่ ลูกสามารถเป็นตัวของตัวเองและพึ่งพาตัวเองได้ ยิ่งรู้ว่าพ่อแม่คอยเป็นทัพหลังให้คอยช่วยเหลือสนับสนุน ยิ่งทำให้ลูกกล้าที่จะเรียนรู้ กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ กล้าลองผิดลองถูก มีเป้าหมายในชีวิตและพร้อมฝ่าฟันอุปสรรคในวันที่ชีวิตเจอมรสุมขึ้น-ลง  จากการศึกษาคนในวัยผู้ใหญ่ 15,000 คนพบว่า คนที่มีการสื่อสารกับพ่อแม่ที่ดี มีสัมพันธภาพในครอบครัวกับพ่อแม่ที่ดี มักเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพทางด้านร่างกายที่ดี มองโลกในแง่ดี มีความโรแมนติกในวัยผู้ใหญ่ และผลรายงานแสดงปัญหาด้านสุขภาพจิต ด้านโรคซึมเศร้า และ การติดสารเสพติดน้อยกว่าครอบครัวที่สัมพันธภาพและการสื่อสารที่ไม่ดีมีหรือมีปัญหาครอบครัว

นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่ามากกว่าหนึ่งในสามของผู้ใหญ่วัย 18-25 ปี นั้นต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานด้านปัญหาสุขภาพจิตเพราะถูกละเลยจากพ่อแม่ด้านการสื่อสาร การสื่อสารที่ดีและสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพจิตและช่วยให้ความสัมพันธ์มีการปรับปรุงพัฒนา ความเข้าใจและความรักในครอบครัวช่วยลดความเครียดให้ลูกในวัยผู้ใหญ่ ทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเองและเป็นส่วนหนึ่งของคนในครอบครัว รวมทั้งยังช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพจิตที่จะตามมาอีกหลายอย่างในอนาคตอีกด้วย

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปอย่างมากลูกในวัยผู้ใหญ่ของเรามักต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะด้วยการแข่งขันในตลาดการหางาน ความกดดันในเรื่องความสำเร็จในชีวิต สังคมการเปรียบเทียบกันด้านสถานะ หลายอย่างกดดันพ่อแม่จึงควรตระหนักรู้และเข้าใจการดูแลลูกวัยผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันโดยเฉพาะในวัย 20, 30, และ 40 ปี

3 ช่วงวัยของลูกวัยผู้ใหญ่แบ่งได้ดังนี้

  • ช่วงอายุ 20 ปี – เพิ่งเรียนจบ กำลังเตรียมตัวเรียนต่อในระดับสูงขึ้น มองหางาน มีความรัก ค้นหาความชอบในการงานอาชีพที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ
  • ช่วงอายุ 30 ปี – การงานเติบโต ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาเป็นระยะยาวจริงจัง มีเงินเก็บเพื่อสร้างครอบครัว และท่องเที่ยว
  • ช่วงอายุ 40 ปี – เริ่มให้ความสำคัญกับอาชีพการงาน มีการเปลี่ยนงาน เลี้ยงลูก วางแผนการเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พัฒนาการศึกษาเรียนรู้ของตนอย่างต่อเนื่อง





เมื่อลูกไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไป ลูกเติบโตและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ พ่อแม่ควรชื่นชนยินดีกับบทบาทใหม่ในการดูแลคุ้มครองลูกที่แตกต่างจากเดิม การใช้ทักษะ 8 อย่างจากผู้เชี่ยวชาญในการช่วยให้ลูกเติบโตพัฒนาการสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบรูณ์และมีสัมพันธภาพที่ดีกับพ่อแม่สามารถเรียนรู้ได้ดังนี้

ทักษะ 8 อย่างช่วยให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบรูณ์และแข็งแรง

1. ยอมรับความแตกต่างและให้เกียรติลูก

ปัญหาสัมพันธภาพกับลูกในวัยเด็กหรือวัยรุ่นอาจส่งผลกระทบกับสัมพันธภาพเมื่อลูกโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามการพัฒนาสัมพันธภาพให้ดีต่อกันย่อมต้องใช้เวลา เมื่อลูกเติบโตไปมีชีวิตของตนเองแล้วไม่ว่าพ่อแม่จะเห็นด้วยรู้ไม่ก็ตาม ควรยอมรับในความแตกต่างและพยายามสานสัมพันธ์เชื่อมโยงกับลูกโดยไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

2. แบ่งปันความรู้ประสบการณ์และมุมมองโดยไม่วิจารณ์ตัดสิน

ลูกย่อมมีมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างจากพ่อแม่ อย่างไรก็ตามการแชร์ประสบการณ์ มุมมองแนวทางการแก้ไข ความคิดแนวปฎิบัติเป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถแบ่งปันได้ แต่ไม่ควรคาดหวังว่าลูกจะเห็นด้วย และอยากทำตาม นอกจากนี้พ่อแม่ควรตระหนักถึงวิธีการสื่อสารกับลูกด้วยความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจลูก โดยไม่วิพากวิจารณ์เพราะจะทำให้ลูกปิดกั้นการพูดคุยแบบเปิดเผย แต่ควรสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันกับลูกในทุกๆ การสื่อสาร

3. วางขอบเขตของตัวเอง ไม่ก้าวก่าย

พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องบอกกับลูกว่าเมื่อมีปัญหาควรแจ้งใคร ปล่อยให้ลูกคิดและตัดสินใจเองเพราะบางเรื่องลูกอาจต้องขอคำแนะนำจากพ่อแม่ ในขณะที่บางเรื่องต้องถามเพื่อนก่อนอันดับแรก หากลูกมีแฟนและต้องถามความคิดเห็นกับแฟนก็ควรเคารพในการตัดสินใจและวางตัวเองให้เหมาะสม

4. ทำกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน

หากิจกรรมที่ทั้งพ่อแม่ลูกรู้สึกดี สนุกสนานผ่อนคลายในการทำร่วมกัน หางานอดิเรก กิจกรรมที่สามารถทำร่วมกันได้บ่อยๆ ทำด้วยกัน

5 มีพื้นที่สำหรับคนสำคัญของลูก

บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากในบางครอบครัวที่จะต้องแบ่งปันลูกให้ใครบางคนเมื่อลูกโตขึ้น อย่างไรก็ควรเปิดใจและเปิดรับสมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาในครอบครัวและทำความรู้จักตัวตนของเขาโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือผลักไส เป็นเรื่องจำเป็นที่ลูกในวัยผู้ใหญ่ต้องมีพื้นที่ในการเติบโตและพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีในการสร้างชีวิตใหม่ของตนเอง

6. ทำตัวเป็นที่ปรึกษา แต่ไม่ใช่เจ้านาย

เมื่อตอนลูกยังเป็นเด็กพ่อแม่อาจต้องวิ่งวนจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้แต่ละวันผ่านไปได้ด้วยดีเป็นที่พึ่งพาของลูกได้ในทุกๆ เรื่องแต่เมื่อลูกเป็นผู้ใหญ่แล้วสิ่งที่ลูกต้องการคือการได้รับคำแนะนำที่ดี แนวทางการแก้ปัญหาที่ลูกอาจนำไปใช้ในชีวิตได้จริงๆ มากกว่า

7. เป็นคนที่ลูกเชื่อใจได้

พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศให้ลูกรู้สึกว่าเมื่อไรก็ตามที่มีปัญหาอยากคุยกับคนที่ไว้ใจที่สุดสามารถทำได้ บางครั้งอาจไม่ใช่การขอคำแนะนำแต่เป็นความสบายใจที่ลูกสามารถพูดทุกเรื่องได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องระแวงสงสัย

8. จัดนัดพบปะสังสรรค์ในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ

การได้มาเจอกันบ่อยๆ ช่วยให้ทุกคนมีพื้นมีโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวความสุขความทุกข์ที่มี  เรื่องที่เป็นกังวล ได้แชร์พื้นที่ปลอดภัยในการเจอกันคุยกันในครอบครัว

อย่างไรก็ตามบางครอบครัวมีสัมพันธภาพที่เป็นปัญหา เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ควรมองหาโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และพยายามปรับการเชื่อมโยงสัมพันธภาพเข้าหากัน หากบาดแผลทางใจสร้างความเจ็บปวดและร้าวลึกควรมาพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้าใจต้นตอของปัญหา หากลูกในวัยผู้ใหญ่ไม่ให้ความใส่ใจพ่อแม่หรือเมินเฉย พ่อแม่ควรสอบถาม และควรให้เวลากับลูกและไม่ควรโกรธเกลียด และควรพร้อมพูดคุยกับลูกอยู่เสมอ

 

อ้างอิง
https://www.newportinstitute.com/resources/family-connection/communicate-grown-child/#:~:text=Rather%20than%20judge%20your%20adult,said%20so%20they%20feel%20understood.
https://www.empoweringparents.com/article/rules-boundaries-and-older-children-part-ii-in-response-to-questions-about-older-children-living-at-home/#google_vignette
https://extramile.thehartford.com/family/parenting/parenting-adult-children/

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้